หมอสันต์ ยก 4 ข้อสำคัญ เลิกคุมโควิด ชี้ เปิดให้ ปชช.ติดโอไมครอน  ยิ่งเร็วยิ่งดี

หมอสันต์ ยก 4 ข้อสำคัญ เลิกคุมโควิด ชี้ เปิดให้ ปชช.ติดโอไมครอน ยิ่งเร็วยิ่งดี

"หมอสันต์" นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟสบุ๊ก ในหัวข้อ หมอสันต์เสนอลุงตู่ให้เลิก " คุ ม โ ค วิ ด " พร้อมทั้งงัด 4 ข้อสำคัญ เ ลิ ก คุ ม โ ค วิ ด

"หมอสันต์" เผยว่า หมอสันต์เสนอลุงตู่ให้เลิก " คุ ม โ ค วิ ด" ว่า เมื่อคืนก่อนผมไปงานเลี้ยง ได้พบปะกับทูตของประเทศต่าง ๆ หลายท่าน ได้คุยกับทูตบางประเทศนานเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูตประเทศจากอัฟริกา ซึ่งผมพยายามเลียบเคียงถามถึงสถานการณ์ โ ร ค โ ค วิ ดที่นั่น

ประเด็น คือ ผมอยากรู้คือที่สื่อตะวันตกตั้งแง่ว่า รัฐบาลของประเทศในอัฟริกา รวมทั้งเคนยาและอูกันดา ปิดข่าวเรื่องการ ต า ย ของผู้ ป่ ว ย โ ค วิ ด ทำให้สถิติดูดีกว่าความเป็นจริงนั้น ของจริงมันเป็นอย่างไร ท่านทูตบอกว่า โ ร ค โ ค วิ ด ที่นั่นมันสงบแล้วจริง ๆ และการ ต า ย ของผู้คนก็มีน้อยมากจนสัมผัสไม่ได้

"หมอสันต์" ระบุว่า ข้อมูลนี้สอดคล้องกับที่ผมเคยได้ฟังคำสัมภาษณ์ของ Dr. Thierno Balde’ แพทย์ของ WHO ที่ดูแลเรื่อง โ ร ค โ ค วิ ด ในอัฟริกา ได้เล่าว่าตัวเขาเอง โดยหน้าที่ต้องเดินทางไปทั่วทุกหัวระแหงของอัฟริกา ทั้งบ้านเล็กเมืองน้อย เขาไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ว่าจะมีการ ต า ย ของผู้คนมาก หรือมีงาน ศ พ อะไรมากมายเป็นพิเศษ เหมือนอย่างช่วงโ ร ค เ อ ด ส์ ร ะ บ า ด ใหม่ ๆ ไม่มีเลย

ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอูกันดา นับถึงวันนี้มีอยู่ว่า ทั้งประเทศตรวจคัดกรองไปแล้ว 2,552,614 คน ติ ด เ ชื้ อ สะสม 163,878 คน ต า ย สะสม 3,595 คน (2.1%) เกือบทั้งหมด เป็นการ ต า ย ช่วงเดลตาระบาด ฉีด วั ค ซี น ไปแล้ว 10,048,279 โดส (ประชากร 45.7 ล้าน) มาถึงตอนนี้เคสสงบจากเวฟใหญ่แล้ว มี ติ ด เ ชื้ อ เพิ่มเฉลี่ยวันละ 9 คน ยังอยู่ในไอซียู 2 คน ไม่มีคน ต า ย

ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยหนึ่ง ซึ่งสนับสนุนทางการเงินโดย WHO และรัฐบาลเยอรมัน เพิ่งเปิดเผยไม่กี่วันมานี้ เป็นงานวิจัยเมตาอานาไลซีส ที่รวบรวมการเจาะเลือดสุ่มตรวจภูมิคุ้มกัน โ ค วิ ด ของ ผู้ ป่ ว ย ที่ทำวิจัยในประเทศต่าง ๆ ทั่วอัฟริกา ซึ่งได้ผลว่า ภูมิคุ้มกันที่ตรวจได้ใน เ ลื อ ด ของชาวอัฟริกาที่สุ่มตรวจทั้งทวีป ได้เพิ่มจาก 3.0% ในกลางปี 2020 มาเป็น 65.1 % ในปลายปี 2021 นั่นหมายความว่า โ ร ค ได้กวาดไปทั่วทวีปจนจบลงไปแล้ว โดยที่มีการล้ม ต า ย น้อยมาก ทั้ง ๆ ที่อัตราการได้ วั ค ซี น อย่างน้อยหนึ่งเข็มของอัฟริกาต่ำเพียง 14% อะไรทำให้ได้ภูมิคุ้มกันมากโดยคน ต า ย น้อย และลงทุนน้อย ทำไมอินเดีย ต า ย กันมากกว่าล้านคน หรือว่าเป็นเพราะช่วงเวลาที่โรคกวาดผ่านไปนั้น มันต่างกัน อินเดียเจอโรคตอน เ ด ล ต า กำลังขึ้น แต่อัฟริกาเจอเอาตอน โ อ ไ ม ค ร อ น มาแทน เ ด ล ต า

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ในการจะบริหารสถานการณ์ โ ค วิ ด ของเมืองไทยเรานี้ เราจะหลับหูหลับตาไม่เรียนรู้จากอัฟริกาไม่ได้เลย ยุทธศาสตร์เดิม ๆ ของเราตอนนี้คือ

(1) มุ่งฉีดวัคซีนเข็มสามให้ครอบคลุม

(2) มุ่งฉีดวัคซีนเด็กให้ครอบคลุม

(3) ชลอการระบาดของโรคออกไปให้ได้นานที่สุดด้วยคอนเซ็พท์ที่จะสงวนเดียงในโรงพยาบาลไว้

(4) หวังกับการฉีดวัคซีนเข็ม 4, 5, 6... ว่ามันจะป้องกันคนส่วนใหญ่ไว้ไม่ให้ ติ ด เ ชื้ อ ตลอดไป

ผมเขียนบทความนี้เพื่อจะบอกแก่รัฐบาลลุงตู่ว่า ยุทธศาสตร์ที่เรากำลังใช้อยู่ทั้งสี่อย่างนี้ จะพาเราไปสู่ทางตัน และจะยิ่งมีปัญหาหากมีสายพันธ์อื่นที่รุนแรงกว่ามาแทนโ อ ไ ม ค ร อ น เพราะ

"ประเด็นที่" 1. หากเราเรียนรู้จากอัฟริกา เราไม่ควรพลาดโอกาสใช้ โ อ ไ ม ค ร อ น ในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้คนทั่วไป เพราะงานวิจัยพบว่า วั ค ซี น ที่เราลงทุน ฉี ด ไปแล้ว ภูมิคุ้มกันมันจะคงอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วมันก็จะค่อย ๆ แผ่วลง นาทีทองมีอยู่แค่ไม่กี่เดือนจากนี้ไปเท่านั้น ดังนั้น เราควรจะยกเลิกการกักกัน โ ร ค เ สี ย เปลี่ยนมาจัดการโรคแบบเปิดให้ประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้วได้ติด เ ชื้ อ โ อ ไ ม ค ร อ น เสียตอนที่ วั ค ซี น ที่เราเพิ่งลงทุนฉีดไปยังช่วยลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการ ต า ย ได้อยู่นี้

"ประเด็นที่" 2. ในแง่การควบคุมโรคระยะยาว การติดเชื้อธรรมชาติเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้การควบคุมโรคมีประสิทธิผลสูงสุด เพราะผลวิจัยอัตราการต้องเข้าโรงพยาบาลของผู้มีสถานะวัคซีนและสถานะการติดเชื้อต่างกัน ซึ่งทำกับประชากรของแคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์คพบว่า หากเอาความ เ สี่ ย ง ต้องถูกรับไว้ในโรงพยาบาลของกลุ่มที่ไม่เคย ติ ด เ ชื้ อ และไม่เคยได้วัคซีนเป็นตัวตั้ง กลุ่มที่ได้ วั ค ซี น แต่ไม่เคย ติ ด เ ชื้ อ มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 19.8 เท่า แต่กลุ่มที่เคย ติ ด เ ชื้ อ และเคยได้ วั ค ซี น ด้วย มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 55.3 เท่า ขณะที่กลุ่มที่เคยติดเชื้อ โดยไม่เคยได้วัคซีนเลย มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 57.5 เท่า แปลว่าการติดเชื้อต่างหากที่เป็นตัวบอกว่าจะป้องกันการต้องเข้าโรงพยาบาลได้อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง โดยไม่เกี่ยวกับว่า จะได้หรือไม่ได้ วั ค ซี น ร่วมด้วยเลย ดังนั้น การหวังลดการเข้าใช้โรงพยาบาลจากการเปิดให้ ติ ด เ ชื้ อ จะได้ผลดีกว่าการหวังเอาจากการ ฉี ด วั ค ซี น ซึ่งต้องฉีดกระตุ้นซ้ำซาก ตามรอบที่ภูมิคุ้มกันแผ่วลง และต้องกระตุ้นกันไปอย่างไม่รู้จบ

"ประเด็นที่" 3. อัตราเข้าโรงพยาบาลและอัตราตายจากการ ติ ด เ ชื้ อ โ อ ไ ม ค ร อ น ต่ำมาก นอกจากข้อมูลภาพรวมของอัฟริกาที่ผ่านการ ติ ด เ ชื้ อ ธรรมชาติทั้งทวีปมาได้โดยไม่บอบช้ำแล้ว ข้อมูลของอังกฤษก็บ่งชี้ไปทางเดียวกัน ข้อมูล National Statistic ของอังกฤษบ่งชี้ว่า ทุกวันนี้มีคน ต า ย ทั้งประเทศสัปดาห์ละ 826 คน (อัตรา ต า ย 0.03% ถ้าคำนวณจากการ ติ ด เ ชื้ อ ในช่วงเดียวกันสัปดาห์ละ 2,443,077 คน) ในจำนวนที่ ต า ย นี้ประมาณ 35-60% มี โ ร ค เ รื้ อ รังร่วมด้วยจึงยังไม่รู้ว่า ต า ย จากอะไร อัตรา ต า ย เพิ่มสัปดาห์ละ 5 คน (0.6%) อายุเฉลี่ยของผู้ ต า ย 82.5 ปี และหากเปรียบเทียบอัตรา ต า ย จากทุกโรคต่อสัปดาห์ในช่วงที่ โ อ ไ ม ค ร อ น ระบาดอยู่ พบว่า ต่ำกว่าอัตรา ต า ย รวมต่อสัปดาห์เฉลี่ย 5 ปีก่อนยุค โ ค วิ ด ร ะ บ า ด อยู่สัปดาห์ละ 12,473 คน หรือต่ำกว่ากัน 0.3% แปลว่าในภาพใหญ่ขณะที่ โ อ ไ ม ค ร อ น ร ะ บ า ด ร ะ เ บ้ อติด เ ชื้ อ วันละสามแสนกว่า แต่ อั ต ร า ต า ย รวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากสมัยที่ยังไม่มี โ ค วิ ด

"ประเด็นที่" 4. การคิดจะ ฉี ด วั ค ซี น ให้เด็ก เพื่อช่วยเพิ่มการ ค ว บ คุ ม โ ร ค ในระดับชาตินั้น เป็นทิศทางที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าจะได้ประโยชน์คุ้มความเสี่ยง ประเทศที่มีข้อมูลเรื่องนี้ดีที่สุดคืออังกฤษ เพราะที่อังกฤษก็มีปัญหาเดียวกันเนื่องจากการ ติ ด เ ชื้ อ กำลังอยู่ในขาขึ้น คือข้อมูลนับถึงวันนี้จากฐานข้อมูล ZOE พบว่าตอนนี้ 1 ใน 15 คน ติ ด เ ชื้ อ ถึงระดับมีอาการไปแล้ว มีคน ติ ด เ ชื้ อ ใหม่วันละ 349,011 คน เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 7% มีค่า R value 1.1 แปลว่ายังอยู่ขาขึ้น แต่จวนเจียนจะถึงพีคเป็นขาลง

และข้อมูลในเด็กของ National Statistic ของอังกฤษพบว่า เด็กระดับมัธยม 96.6% มีภูมิคุ้มกันแล้ว โดยที่ 46.6% ได้ วั ค ซี น ครบแล้ว แปลว่าอย่างน้อย 50% ของที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่ได้เกิดจาก วั ค ซี น ส่วนเด็กประถม (อายุ 5-11 ปี) พบว่า 62.4% มีภูมิคุ้มกันแล้ว ถ้าเจาะลึกดูเฉพาะกลุ่มเด็กประถมอายุ 8-11 ปีพบว่า 80.9% มีภูมิแล้ว โดยที่เด็กประถมทั้งหมดนี้ ไม่เคยได้ วั ค ซี น เลย เด็กเหล่านี้ทั้งหมดได้ภูมิมาจากการ ติ ด เ ชื้ อ ธรรมชาติ โดยมักไม่มีอาการ แล้วจะไป ฉี ด วั ค ซี น เพิ่มอีกทำไมละครับ เพราะข้อมูลของแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์คก็บอกแล้วว่า วั ค ซี น ไม่ได้ประโยชน์เพิ่มเติมในแง่การต้องเข้าโรงพยาบาลนอกเหนือไปจากการ ติ ด เ ชื้ อ ตามธรรมชาติ

โดยสรุปผมจึงขอเสนอลุงตู่ว่า มาถึงบัดนี้เวลาได้ผ่านไปนานแล้ว สถานการณ์หรือธรรมชาติของโรค (natural course of disease) ได้เปลี่ยนไปแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การ "คุ ม โ ค วิ ด" เสียใหม่ ด้วยการตัดสินใจเลิกกักกัน หรือเลิกชะลอ โ ร ค ทันที เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ ติ ด เ ชื้ อ โ อ ไ ม ค ร อ น เปิดพลั้วะเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี หันมาใช้ยุทธศาสตร์รับมือแบบโรคประจำถิ่น รีบเปิดเสียก่อนที่ใบบุญที่เราสร้างไว้จากการ ฉี ด วั ค ซี น จะแผ่วลงไป และก่อนที่สายพันธ์ที่ รุ น แ ร ง กว่าแบบใหม่ ๆ จะมาแทนโอไมครอน

ขอบคุณภาพ และ ข้อมูลจาก: นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์

เรียบเรียงข้อมูลโดย viralsfeedpro

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ