ซากเชื้อโควิด สามารถ แพร่เชื้อต่อ ไปยังคนอื่น ได้หรือไม่!?

ซากเชื้อโควิด สามารถ แพร่เชื้อต่อ ไปยังคนอื่น ได้หรือไม่!?

ทำความรู้จัก "ซาก เ ชื้ อ โ ค วิ ด" สามารถแพร่ต่อได้หรือไม่ แล้วมีอันตรายมั้ย ทางด้าน สำนักงานหลักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้ออกมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้แล้ว เผย พ้นระยะแพร่ เ ชื้ อ สามารถใช้ชีวิตทางสังคมได้อย่างปกติ

สำนักงานหลักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ระบุว่า ต้องเเน่ใจว่า หายจากการ ติ ด เ ชื้ อ ครั้งเเรก โดยทั่วไป การ ติ ด เ ชื้ อ ซ้ำมักเกิดหลังจากการติ ด เ ชื้ อ ครั้งเเรกเกิน 3 เดือน เเต่บางกรณี มีผู้ป่วยบางราย มีอาการป่วยนานกว่าคนทั่วไป เเละเมื่อตรวจ เ ชื้ อ อาจพบ เ ชื้ อหลงเหลือ ทำให้ผลตรวจเป็นบวกนานหลายสัปดาห์ ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการติดเชื้อซ้ำ หากสงสัยว่า ติ ด เ ชื้ อ ซ้ำ ไม่ต้องตกใจ ส่วนใหญ่อาการไม่รุนเเรง พบได้เป็นปกติ มีรายงานเป็นระยะทั่วโลก

"การตรวจหา เ ชื้ อ คืออะไร" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธร มาลาธรรม ที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและควบคุมการ ติ ด เ ชื้ อ ในโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า การวินิจฉัย โ ร ค ติ ด เ ชื้ อ ทุกชนิด ที่แน่นอนที่สุด คือการตรวจพบตัว เ ชื้ อ ที่เป็นสาเหตุของโรคนั้น เ ชื้ อ โ ร ค ต่างชนิดกัน จะมีวิธีการตรวจหา เ ชื้ อ แตกต่างกันไป ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น การ ติ ด เ ชื้ อ ใน เ ลื อ ด ฝี หนอง ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ทางการแพทย์จะใช้วิธีเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด แต่กรณีการ ติ ด เ ชื้ อ ไ ว รั ส เกือบทุกชนิด รวมทั้ง โ ค วิ ด- 1 9 การเพาะ เ ชื้ อ ทําได้ยาก และต้องเป็นห้องปฏิบัติการพิเศษที่มีระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก จึงไม่สะดวกในการใช้ และมีเฉพาะในสถาบันการแพทย์ใหญ่ ๆ ที่ทําเพื่อการวิจัยเท่านั้น

เทคนิคการตรวจหา เ ชื้ อ ที่นิยมใช้ มีสองวิธีหลัก ๆ คือ การตรวจหาส่วนประกอบของ เ ชื้ อ เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธีการขยายจํานวนเฉพาะส่วนสารพันธุกรรมของ เ ชื้ อ ที่เรียกว่า PCR (ชื่อเต็มคือ polymerase chain reaction และการตรวจหาโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของไวรัสที่ทางการแพทย์เรียกว่าแอนติเจน (antigen) ทั้งสองวิธีนี้ใช้สิ่งส่งตรวจที่ป้ายจากหลังโพรงจมูก (แยงจมูก) เหมือนกัน แต่การตรวจหาสารพันธุกรรม จะมีความแม่นยําในการวินิจฉัยมากกว่า และเป็นวิธีการมาตรฐานในการวินิจฉัยโ ค วิ ด - 1 9 เมื่อผู้ ติ ด เ ชื้ อ มีอาการ หรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันถ้าต้องการทราบว่าติดเชื้อมา หรือไม่แพทย์ก็มักจะแนะนําให้รับการตรวจหาสารพันธุกรรมนี้ ถ้าตรวจพบ ก็จะให้ผู้ ติ ด เ ชื้ อ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 10-14 วันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้ามีอาการหนัก ก็อาจจะต้องอยู่นานกว่านั้น

"เราทราบได้อย่างไรว่า หายจาก โ ร ค แล้ว" การบอกว่าผู้ป่วยหายจาก โ ร ค ติ ด เ ชื้ อ โดยทั่วไป อาจบอกได้จากการประเมินอาการ และบางกรณีก็อาจจะตรวจหาเชื้อซ้ำว่า เ ชื้ อ หมดจากร่างกายของผู้ป่วยหรือยัง แต่สําหรับ โ ค วิ ด-1 9 การตรวจหา เ ชื้ อ ซ้ำ จะทําให้สับสนมาก เพราะสารพันธุกรรมของ เ ชื้ อ SARSCoV-2 (ไ ว รั ส ที่เป็นสาเหตุของโรค) จะคงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยเป็นเวลานานมาก บางรายอาจจะนานถึง 3 เดือน มีการทดลองเอาสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยไปตรวจหาสารพันธุกรรม และเพาะเชื้อไปพร้อมกัน

7ถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากจะตรวจพบทั้งสารพันธุกรรม และยังเพาะเชื้อได้ตัวไวรัสอยู่หลังจากมีอาการไม่เกิน 7 วัน ถ้าเป็นผู้ป่วยอาการหนัก หรือมีภูมิคุ้มกันต่ํา จากการได้ยากดภูมิ หรือจากโรคเดิม ก็จะเพาะเชื้อได้นานประมาณ 3 สัปดาห์ เมื่อพ้นจากระยะเวลาดังกล่าวแล้ว (7 วัน) สําหรับผู้ป่วยทั่วไป 21 วัน สําหรับผู้ป่วยอาการหนักหรือภูมิคุ้มกันต่ำ) เกือบทั้งหมดจะเพาะเชื้อไม่ขึ้นคือเชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้อีกต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้ออยู่บางคนจึงเรียกเหตุการณ์นี้ว่า พบ "ซากเชื้อโควิด"

"ซาก เ ชื้ อ โ ค วิ ด " ก่อโรคได้ และเป็นอัน ต ร า ย หรือไม่ การศึกษาในไต้หวัน พบว่า ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ก่อนที่จะมีอาการประมาณ 2 วัน ไปจนถึง 6 วัน นับจากวันที่มีอาการวันแรก จะ ติ ด เ ชื้ อ จากผู้ป่วยได้ แต่ถ้ามีการสัมผัสหลังจากนั้น จะไม่มีใคร ติ ด เ ชื้ อ เลย การติดตามผู้ป่วยหลายร้อยคนที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ในประเทศเกาหลีใต้ ก็ไม่พบว่ามีใคร ติ ด เ ชื้ อ จากผู้ที่หายจากโรคแล้วเหล่านั้นเลย แม้ว่าจะยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อในสารคัดหลั่งของผู้ที่หายจากโรคแล้ว

ผู้ป่วยได้รับการรักษาในโรงพยาบาลจนครบกําหนดระยะเวลาแล้ว จึงถือว่า พ้นระยะแพร่ เ ชื้ อ สามารถใช้ชีวิตทางสังคมได้อย่างปกติ แม้ว่าบางคนอาจจะมีอาการหลงเหลือเล็กน้อย แต่อาการนั้นไม่ใช่อาการที่แสดงว่ายังมี เ ชื้ อ อยู่ เป็นแต่เพียงการอักเสบที่ยังตกค้างอยู่ และจะหายไปเองในที่สุด

“การตรวจหา เ ชื้ อ ” จึงไม่มีความจําเป็น ไม่มีประโยชน์ใด ๆ และสร้างความสับสน เพราะสิ่งที่พบ คือ สารพันธุกรรม ที่เหลืออยู่ (ซาก เ ชื้ อ) ไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ทําให้เข้าใจผิดว่า บุคคลนั้นยังไม่หายจากโรคทั้ง ๆ ที่ความจริงคือ หายป่วยและไม่แพร่เชื้อแล้ว

ขอบคุณภาพ และ ข้อมูลจาก: โรงพยาบาลพญาไท , pexels

เรียบเรียงข้อมูลโดย viralsfeedpro

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ